Thursday, May 2, 2024

He/She Said และ They Said "XYZ"

 He/She Said และ They Said "XYZ"

Janpha Thadphoothon

ลักษณะหนึ่งในการใช้ภาษาอังกฤษ คือการ อ้างคำพูดของคนอื่น He said X. หรือ She said Y.
คือเราอ้างว่า เขาพูดอย่างนั้นอย่างนี้ เช่น He said "I love you."

He said ใช้ V2 เพราะ การพูดดังกล่าว เกิดขึ้นและสิ้นสุดไปแล้ว 
"I love you" จะเห็นว่า อยู่ในเครื่องหมายคำพูด (Quotation Mark) จะเป้น Tense อะไรก็ได้อยู่แล้ว เช่น

He said, "I did not see you in class yesterday."

หลังจากที่เราได้เข้าใจหลักการใช้ "He/She said" แล้ว เรามาพูดถึงการใช้ "They said" กันบ้างน.ครับ

เมื่อเราใช้ "They said" เรามักจะอ้างถึงคำพูดของกลุ่มคนหรือบุคคลที่ไม่ระบุชื่อเนื่องจากเราไม่ทราบว่าพูดมาจากใครในกลุ่มนั้น หรือเพื่อเน้นถึงความเป็นกลาง ไม่ใช่เฉพาะบุคคลเดียว ตัวอย่างเช่น

"They said the meeting would be postponed until next week."

ในประโยคข้างต้น เราใช้ "They said" เพื่ออ้างถึงคำพูดที่ได้ยินจากกลุ่มคนหรือบุคคลหลายคนว่า การประชุมจะถูกเลื่อนไปสู่สัปดาห์หน้า โดยไม่ระบุชื่อใครในกลุ่ม

นอกจากนี้ "They said" ยังสามารถใช้เพื่ออ้างถึงคำพูดที่มีการเผยแพร่อย่างกว้างขวาง ไม่ได้มาจากบุคคลหรือกลุ่มที่เฉพาะเจาะจง เช่น

"They said it's going to rain tomorrow."

ในกรณีนี้ เราใช้ "They said" เพื่ออ้างถึงข้อมูลที่เป็นทั่วไปหรือเป็นข่าวสารที่มีการเผยแพร่ในสังคม ไม่ได้มีการระบุใครเป็นผู้พูด

ดังนั้น เมื่อเราใช้ "They said" เราจะมักจะเน้นถึงความเป็นกลาง หรือข้อมูลที่มีการเผยแพร่อย่างกว้างขวาง โดยไม่ได้ระบุเจาะจงถึงบุคคลหรือกลุ่มเฉพาะใดๆ ที่เป็นผู้พูด

อย่างไรก็ตาม การใช้ "They said" ยังขึ้นอยู่กับบริบทและวัตถุประสงค์ของการใช้ภาษาด้วย การเลือกใช้คำพูดอย่างเหมาะสมจึงเป็นสำคัญ เพื่อให้ข้อความมีความชัดเจนและถูกต้องตามบริบทที่กำหนด



Application-supported Image: Canva Pro

ความถูกต้อง นั้น สำคัญสุดๆ นะครับ หากการอ้างไม่ถูกต้อง อาจถูกมองว่า เราโกหก พูดเท็จก็ได้
ดังนั้น การอ้างจึงควรมีหลักฐาน (Evidence) - โดยเฉพาะอย่างยิ่ง กรณีที่เป็นทางการ (Formal)

ไม่ว่าจะอ้างอะไรหรือใครก็ตาม

He said the PM is going to resign.
She said her ex was a con.
They said Thai people are not good at English.

เราลองมาวิเคราะห์กันดูนะครับ

เหตุผลที่การอ้างถึงคำพูดควรมีหลักฐานเป็นสิ่งสำคัญมากๆ เนื่องจากการพูดโดยไม่มีหลักฐานอาจทำให้เกิดความเข้าใจผิด หรือถูกตีความว่าเป็นการโกหกหรือพูดเท็จได้ ดังนั้น เรามาดูตัวอย่างและอธิบายเหตุผลของแต่ละกรณีกันนะครับ

1. He said the PM is going to resign.

   - หลักฐาน (Evidence): บันทึกการสัมภาษณ์หรือเอกสารทางการที่ระบุถึงคำพูดของผู้เอาชีวิตจิตใจที่เกี่ยวข้อง มีหรือไม่อย่างไร

 เพื่อให้การอ้างถึงคำพูดมีน้ำหนักและถูกต้อง เราควรมีหลักฐานเชื่อถือได้ เช่น บันทึกการสัมภาษณ์ทางการ หรือเอกสารที่ระบุถึงคำพูดของบุคคลที่เกี่ยวข้อง เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดความเข้าใจผิดพลาดหรือการตีความที่ไม่ถูกต้องว่าเราโกหกหรือพูดเท็จ


2. She said her ex was a con.

   - หลักฐาน (Evidence): บันทึกการสัมภาษณ์หรือเอกสารที่ระบุถึงคำพูดของผู้เอาชีวิตจิตใจที่เกี่ยวข้อง

  เรื่องราวเกี่ยวกับคนอื่นๆ โดยเฉพาะเรื่องความเป็นจริงในทางที่มีผลต่อเครื่องหมายชีวิตของพวกเขา การมีหลักฐานที่รองรับจะช่วยป้องกันไม่ให้เกิดความเข้าใจผิดพลาด และช่วยให้เราสามารถสื่อสารได้อย่างถูกต้อง

3. They said Thai people are not good at English.

   - หลักฐาน (Evidence): ข้อมูลสถิติหรือการสำรวจที่ระบุถึงระดับความสามารถในการใช้ภาษาอังกฤษของคนไทย

เรื่องที่เกี่ยวกับความสามารถหรือลักษณะของกลุ่มคนใดๆ มักจะต้องมีข้อมูลหรือหลักฐานที่รองรับเพื่อให้การอ้างถึงมีน้ำหนักและถูกต้อง เช่น ข้อมูลสถิติหรือการสำรวจที่ระบุถึงระดับความสามารถในการใช้ภาษาอังกฤษของคนไทย เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดความเข้าใจผิดพลาดหรือการตีความที่ไม่ถูกต้องว่าเราโกหกหรือพูดเท็จ

ดังนั้น การมีหลักฐานที่รองรับเป็นสิ่งสำคัญเมื่อเราต้องการอ้างถึงคำพูดของบุคคลหรือกลุ่มคนใดๆ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดความเข้าใจผิดพลาดหรือการรับรู้ที่ไม่ถูกต้องในสังคม

He told me to see the doctor.

การใช้ "He said, 'You need to see the doctor'" และ "He told me to see the doctor" ในเรื่องของ direct and indirect speech มีความแตกต่างกันดังนี้:

1. "He said, 'You need to see the doctor'": ในประโยคนี้เราใช้คำพูดตรงตัวของบุคคลที่เรากำลังพูดถึง โดยใช้เครื่องหมายคำพูด (quotation marks) เพื่อระบุว่าเป็นคำพูดตรงตัวของบุคคลนั้นๆ ซึ่งเป็นรูปแบบของ direct speech หรือการอ้างถึงคำพูดโดยตรงจากบุคคลนั้นๆ

ส่วน

2. He told me to see the doctor. ในประโยคนี้เราไม่ได้ใช้เครื่องหมายคำพูด เราใช้ indirect speech หรือการอ้างถึงคำพูดโดยไม่ตรงจากบุคคลนั้นๆ โดยที่เรากล่าวถึงสิ่งที่บุคคลนั้นๆ บอกให้ทำ โดยไม่ใช้คำพูดตรงตัวของเขา ดังนั้น เราเรียกประโยคนี้ว่า indirect speech หรือการอ้างถึงคำพูดโดยไม่ตรงจากบุคคลนั้นๆ

ความแตกต่างระหว่างทั้งสองประโยคคือการใช้ direct speech และ indirect speech โดยที่ direct speech เป็นการอ้างถึงคำพูดโดยตรงจากบุคคลที่เรากำลังพูดถึง ในขณะที่ indirect speech เป็นการอ้างถึงคำพูดโดยไม่ตรงจากบุคคลนั้นๆ และอาจมีการเปลี่ยนรูปคำพูดในบางกรณี 

He told the audience that global warming is not real.

ความแตกต่างระหว่าง "He told the audience that global warming is not real." และ "He said global warming is not real." คือ:

1. "He told the audience that global warming is not real.": ประโยคนี้เป็นการอธิบายว่าเขาได้บอกข้อมูลเกี่ยวกับเรื่อง global warming ให้กับผู้ฟังหรือผู้รับข่าวที่เป็นกลุ่มใหญ่ ซึ่งในกรณีนี้เขาอาจจะเป็นผู้รู้เกี่ยวกับเรื่องนั้น และเขาอาจเข้าถึงข้อมูลจากแหล่งที่น่าเชื่อถือ

2. "He said global warming is not real.": ประโยคนี้เป็นการอธิบายว่าเขาเองพูดถึงเรื่อง global warming โดยไม่ระบุว่าเขาพูดถึงใครหรือกลุ่มใด เป็นการใช้ direct speech โดยตรง

ดังนั้นความแตกต่างคือในประโยคแรก เขาเป็นผู้ให้ข้อมูลแก่ผู้ฟังหรือผู้รับข่าว ในขณะที่ในประโยคที่สอง เขาเป็นผู้พูดตรงๆ และไม่ระบุว่าพูดให้กับใคร


ความแตกต่างระหว่าง "He said that global warming is a hoax." และ "He said global warming may not be a real thing." อยู่ที่:


Is it a hoax?

1. "He said that global warming is a hoax.": ประโยคนี้เป็นการระบุให้เห็นว่าเขากล่าวว่าปรากฏการณ์ global warming เป็นเรื่องที่ผู้พูดคิดว่าเป็นโกหกหรือเท็จ ดังนั้นเขาให้ข้อมูลอย่างแน่นอนว่าเขาเชื่อว่า global warming ไม่ใช่เรื่องที่จริง แต่เป็นเรื่องโกหก (Hoax)

2. "He said global warming may not be a real thing.": ในประโยคนี้เขากล่าวถึงสิ่งที่เราเรียกว่า indirect speech หรือการอ้างถึงคำพูดคนอื่น โดยในกรณีนี้เขาไม่ได้ระบุถึงว่าเขาเชื่อว่า global warming เป็นเรื่องที่เท็จหรือไม่ แต่เขากล่าวว่ามันอาจจะไม่เป็นเรื่องจริง เป็นการแสดงความไม่แน่ใจหรือความเป็นไปได้ต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้นกับ global warming ตามความเชื่อของเขา


History repeats itself.

การใช้ "They say history repeats itself" เป็นประโยคในปัจจุบันที่ใช้ "say" ในรูปคำกริยา (V1) "repeats" คือกริยาช่องที่ 1 ซึ่งหมายความว่าความคิดนี้เป็นความคิดที่ยังคงมีอยู่ในปัจจุบัน และมักใช้เพื่อบอกถึงความเชื่อทั่วไปหรือสำนึกสาธารณะ As they say, history is bound to repeat itself.

ส่วน "They said that they had bought the history book" เป็นประโยคในอดีตที่ใช้ "said" เป็นคำกริยาช่วย และ "้had bought" เป็นกริยาช่องที่ 3 ซึ่งหมายความว่าการซื้อหนังสือเกี่ยวกับประวัติศาสตร์เกิดขึ้นในอดีต ในที่นี้ "said" เป็นคำกริยาช่วยในอดีต แสดงถึงการกระทำในอดีต ดังนั้น ประโยคนี้ใช้สำหรับการอธิบายเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีตและเสร็จสิ้นลงแล้ว ซึ่งเป็นการแสดงถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นและเสร็จสิ้นลงในอดีตแล้ว She said they had left the city. มาจาก She said, "They left the city."


Direct Speech

He said "I have never been to Canada"

Reported Speech

He said that he had never been to Canada.

Direct Speech

He asked me "Have you been to Canada?"

Reported Speech

He asked me if I had been to Canada.


The book says...

"I just read a book about entrepreneurship." = "ฉันเพิ่งอ่านหนังสือเกี่ยวกับการเป็นนักธุรกิจ"

"The book says that being an entrepreneur is challenging, but fun." = "หนังสือกล่าวว่าการเป็นนักธุรกิจมีความท้าทาย แต่ก็มีความสนุก"

The books that I recently read say a lot about the challenges and rewards of entrepreneurship. อ้างหนังสือก็ได้ The book says that exercise and a balanced diet are crucial for maintaining good health. TV says that staying informed about current events is important for being an engaged citizen.

The law says...

หากต้องการอ้างกฎหมาย The law says/states that all citizens must abide by the regulations set forth by the governing body.

อ้างวิทยุ

"The radio says that traffic on the main highway is backed up due to an accident." - นั่นเป็นประโยคในปัจจุบันที่ใช้ "says" เพราะว่าเรากำลังพูดถึงสิ่งที่รายการวิทยุกำลังรายงานในขณะนั้น แสดงถึงข้อมูลปัจจุบัน

"The radio said that traffic on the main highway is backed up due to an accident." - นั่นเป็นประโยคในอดีตที่ใช้ "said" เพราะว่าเรากำลังพูดถึงสิ่งที่รายการวิทยุได้รายงานไว้ในอดีต แสดงถึงเหตุการณ์หรือข้อมูลที่เกิดขึ้นในอดีตลงในปัจจุบันว่าได้รายงานไปแล้ว The Bangkok Post reports that the government plans to implement new measures to boost economic growth.

ในมิติของแหล่งข่าว ประโยคทั้งหมดสื่อถึงข้อมูลหรือข่าวสารที่มีความสำคัญในสังคมหรือสถานการณ์ปัจจุบัน โดยมีลักษณะการใช้ภาษาที่เหมาะสมกับแต่ละแหล่ง อาจจะมีคำกริยาที่ใช้แสดงถึงข่าวที่เกิดขึ้นในปัจจุบันหรือเร็ว ๆ นี้ เช่น "The Bangkok Post reports that the government plans to implement new measures to boost economic growth." หรือ "The radio says that traffic on the main highway is backed up due to an accident."

อ้างข่าวลือ (Rumors)

Rumors say that the company is planning to launch a new product next month. ในมิติของ English Grammar ประโยคทั้งหมดเป็นประโยคที่ใช้รูปแบบภาษาอังกฤษที่ถูกต้อง และสื่อถึงความหมายอย่างชัดเจน โดยมีการใช้คำกริยาในรูปแบบที่เหมาะสมกับบทบาทและสถานการณ์ที่กำลังพูดถึง เช่น "says" เมื่อใช้กับ "TV" ซึ่งเป็นคำกริยาเพื่อแสดงถึงข่าวสารหรือข้อมูลที่เป็นประจำในปัจจุบัน และ "said" เมื่อใช้กับ "The radio" เพื่อแสดงถึงข้อมูลหรือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีต ดังนั้น ประโยคทั้งหมดเป็นตัวอย่างที่ใช้ภาษาอังกฤษได้อย่างถูกต้องและชัดเจนครับ

การอ้างคำพูดหรือข้อมูลจากคนอื่น

การอ้างคำพูดหรือข้อมูลจากคนอื่นอาจมีข้อดีในการเพิ่มเชื่อมั่นและความน่าเชื่อถือให้กับข้อความหรือเรื่องราวที่เรากำลังสื่อสารไปยังผู้อ่านหรือผู้ฟัง อย่างไรก็ตาม การอ้างอิงคนอื่นมากเกินไปก็อาจมีข้อเสียบางอย่างดังนี้: 1. ขาดความเด่น: เมื่อพูดหรือเขียนเกี่ยวกับเรื่องราวหรือความคิดของตนเองและมักอ้างอิงคำพูดหรือความคิดของผู้อื่นมากเกินไป อาจทำให้คนอื่นไม่สนใจหรือไม่ได้ให้ความสำคัญกับมุมมองของเราเองที่สำคัญกว่า 2. ขาดความน่าเชื่อถือ: หากเราอ้างอิงคำพูดหรือข้อมูลจากคนอื่นมากเกินไปโดยไม่มีการตรวจสอบหรือพิจารณาความถูกต้องของข้อมูล อาจทำให้เกิดความไม่น่าเชื่อถือในเรื่องที่เรากำลังสื่อสารไปยังผู้อื่น 3. ขาดความเป็นกลาง: การอ้างอิงคนอื่นมากเกินไปอาจทำให้เราขาดความเป็นกลางในการแสดงความคิดเห็นหรือมุมมองของเราเอง เนื่องจากเรามุ่งเน้นในการอ้างอิงคำพูดหรือเหตุการณ์ของผู้อื่นมากกว่าการแสดงออกเป็นตัวของเราเอง 4. การสร้างความขัดแย้ง: บางครั้งการอ้างอิงคนอื่นมากเกินไปอาจทำให้เกิดความขัดแย้งหรือความสงสัยในความถูกต้องของข้อมูลหรือความเชื่อที่เรากำลังสื่อสาร โดยเฉพาะหากคนอื่นมีมุมมองหรือสิ่งที่เขาอ้างอิงแตกต่างจากเรา เมื่อเราใช้การอ้างอิงคนอื่นในการสื่อสารเรื่องราวหรือข้อมูล ควรมีการใช้งานอย่างระมัดระวังและมีการตรวจสอบข้อมูลให้เป็นอย่างดีเสมอ และหากเป็นไปได้ควรให้มุมมองหรือเหตุผลของเราเองด้วย He said the stars would never fade, She said love's a game to be played. They said the world's too dark to find the light, But I say hope can still ignite. He said dreams are meant to shatter, She said life's a constant battle. They said the odds are never in your favor, But I say courage makes you braver. He said the past will haunt your soul, She said the future's out of control. They said fate decides our destiny, But I say we shape our own journey.

สรุป

เมื่อเราใช้ "He said" หรือ "She said" เรากำลังใช้ภาษาอังกฤษเพื่ออ้างถึงคำพูดหรือคำกล่าวของบุคคลอื่น ๆ โดยทั่วไปเราจะใส่ข้อความที่พูดเข้าไปในเครื่องหมายคำพูด (quotation marks) เพื่อแสดงว่าเป็นคำพูดที่ถูกอ้างอิงตรงตามที่บุคคลนั้นๆ กล่าวไว้ เช่น "He said 'I love you'." หรือ "She said 'I'll be there at 10 o'clock'."

การใช้รูปแบบนี้ช่วยให้เราสามารถแสดงถึงคำพูดของคนอื่นๆ ได้โดยตรง และเป็นการอ้างถึงข้อมูลหรือคำพูดที่เป็นประโยชน์ในการเสริมสร้างข้อเรียนรู้หรือเสนอความเห็นในเรื่องต่างๆ ในการเขียนหรือการพูดในภาษาอังกฤษ







Janpha Thadphoothon is an assistant professor of ELT at the International College, Dhurakij Pundit University in Bangkok, Thailand.

No comments:

Post a Comment

การใช้ประโยค "active voice" และ "passive voice" ในภาษาอังกฤษ

 การใช้ประโยค "active voice" และ "passive voice"  Janpha Thadphoothon จันทร์พา ทัดภูธร สวัสดีทุกคน! วันนี้เราจะมาทำความร...