Thursday, May 2, 2024

ประเด็นเรื่องการสอนคำหยาบคาย (Issues of SOTL in ELT) ในชั้นเรียนภาษาอังกฤษ

การจัดการกับคำหยาบ (Profane Language) ในการสอนภาษาอังกฤษ: แนวทางและข้อคิดเห็น

Janpha Thadphoothon, Ed D 

ในสถานการณ์การสอนภาษาอังกฤษ (ELT) ที่เป็นมากกว่าการสอนเพียงแค่ภาษา (Beyond grammar) ความสำคัญของการรักษาความเคารพและสร้างพฤติกรรมที่เหมาะสมในชั้นเรียนก็เป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่ง แต่ทว่า คำหยาบคาย (rude language) นั้นอาจเป็นปัญหาที่ต้องจัดการเป็นพิเศษ เนื่องจากมันเป็นการสื่อสารที่ไม่เหมาะสมและอาจทำให้รบกวนการเรียนการสอน

ในวรรณกรรมทาง ESL/EFL นั้น คำหยาบจะถูกจัดอยู่ในหมวดหมู่ของ swearing, (potentially) offensive, and taboo language (SOTL) หรือ SOTL บ้างก็เรียกว่า swearing language หรือคำสบถ
(Wedlock, n.a.)

In English, swearing, offensive and taboo language (SOTL) is most commonly associated
with language related to bodily functions, sexual organs, sexual acts, sexual orientation,
race and/or ethnicity, certain animals, religion, and gender (Pinker, 2007; Jay, 2009), and
may fall into one or more of the following categories - cursing, epithets, profanity,
blasphemy, obscenity, vulgarisms, and expletives (Pinker, 2007; Jay, 2009; Stapleton,
2010).

(Wedlock, หน้า 33)

Andang and Bram (2018) กล่าวว่า

 Swear words or expletives are usually considered negative or rude to be used even in the United States or United Kingdom as English-speaking countries. In English language learning-teaching, swear words become part of linguistic studies and socio-cultural knowledge for teachers and students.

Amanda Gillis-Furutaka (2024) อธิบายว่า Profanity is "expressed not only through words. We use obscene gestures and sign languages have profane signs" - การแสดงภาษาที่หยาบคายสามารถแสดงได่้ทั้งแบบ Verbal หรือวัจนภาษา และแบบ อวัจนภาษา None-Verbal Language

Longdo Dict (https://dict.longdo.com) นิยาม swear word ว่า  คำพูดหรือคำด่าที่หลุดปากออกมาเพื่อแสดงความรู้สึก
ตัวย่าง เช่น เขาชอบหลุดคำสบถที่หยาบคายออกมาบ่อยๆ จนติดเป็นนิสัยไปซะแล้ว

บางคนรับไม่ได้ที่เห็นการใช้ภาษาเช่นนี้ แต่ไม่ว่าจะรู้สึกอย่างไร ชอบมากน้อยแค่ไหน การใช้ภาษาแบบนี้ ยังเป็นไปตามปกติ และนับวันจะยิ่งปรากฎให้เห็นเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ เช่น ทาง Social Media apps


ผมจึงใคร่ขอชวนคิด เรามาลองดูสิครับว่า จะมีวิธีคิด และวิธีการใด้บ้างในการ deal กับเรื่องการใช้ภาษารูปแบบนี้






Table 1: Frequency of Profanity Usage by Online Users

| No. | US Profanities | UK Profanities | Occurrence (COCA) |

|-----|----------------|----------------|-------------------|

| 1.  | shit                       | fuck           | 15684             |

| 2.  | fuck                       |   shit           | 10186             |

| 3.  | damn                   | bloody         | 17418             |

| 4.  | bitch                  | piss           | 5937              |

| 5.  | crap                   | bitch          | 3961              |

| 6.  | piss               | crap           | 1774              |

| 7.  | dick               | cock           | 17284             |

| 8.  | darn               | cunt           | 1902              |

| 9.  | cock               | damn           | 1396              |

| 10. | pussy              | dick           | 1172              |

| 11. | asshole            | bastard        | 2192              |

| 12. | fag                |   bugger         | 338               |

| 13. | bastard            | fag            | 3836              |

| 14. | slut           | pussy          | 762               |

| 15. | douche         | bollocks       | 137               |

| 16. | bloody         | slut           | 10742             |

| 17. | cunt           | arsehole       | 350               |

| 18. | bugger         | darn           | 314               |

| 19. | bollocks       | asshole        | 90                |

| 20. | arsehole       | douche         | 24                |

Note: The data comes from Kirk's 2013 Facebook survey, which ordered the most commonly used profanities by Americans that year. Out of ninety profanities surveyed, twenty emerged as the most frequent on Facebook. To compare, the researchers also gathered frequency data from COCA and added United Kingdom data. The resulting frequencies of profanities from both Facebook and COCA are presented.

Source: Andang, K., & Bram, B. (2018). Swear words and their implications for English language learning-teaching. LLT Journal, 21(Suppl), 43. doi:10.24071/llt.2018.Suppl2105

ข้อคิดเริ่มต้นที่สำคัญคือการเข้าใจว่าทำไมคำหยาบคายถึงถูกมองว่าไม่เหมาะสมในสภาพแวดล้อมการเรียนการสอน โดยส่วนใหญ่เป็นเพราะมันมีลักษณะที่รุนแรง ซึ่งไม่เหมาะสมกับการเรียนการสอนที่มีอารมณ์และมีระเบียบ

แนวทางการจัดการกับคำหยาบคายในชั้นเรียน:

1. การสอนด้วยตัวอย่าง: การใช้ตัวอย่างที่ชัดเจนและสังเกตได้ในการสอนเกี่ยวกับคำหยาบคายจะช่วยให้นักเรียนเข้าใจได้ถึงความสำคัญของการใช้ภาษาที่เหมาะสมในสถานการณ์ต่าง ๆ

2. สร้างบรรยากาศที่สอดคล้องกับมาตรฐาน: การสร้างบรรยากาศที่สอดคล้องกับมาตรฐานการใช้ภาษาที่เหมาะสม จะช่วยสร้างการเคารพและการใช้ภาษาที่สุภาพของนักเรียน

3. การพูดคุยเปิดเผยเรื่องคำหยาบคาย: การสนทนาที่เปิดเผยเกี่ยวกับคำหยาบคายและผลที่อาจเกิดขึ้นจากการใช้คำหยาบคายในสังคม จะช่วยให้นักเรียน นักศึกษาเข้าใจถึงความสำคัญของการใช้ภาษาที่เหมาะสมและการเคารพต่อผู้อื่น

4. การให้ข้อคิดเห็นและแก้ไขอย่างสร้างสรรค์: การให้นักเรียนมีส่วนร่วมในการพูดคุยเกี่ยวกับคำหยาบคายและร่วมกันคิดหาวิธีการแก้ไขปัญหา จะช่วยเสริมสร้างความเข้าใจและความรับผิดชอบในการใช้ภาษา


ตัวอย่างของคำหยาบคายในภาษาอังกฤษ:  อ้างอิง Corpus of Contemporary American English

(COCA)

  1. Damn: "Oh damn, I forgot to bring my keys."
  2. Di<<: "Stop being such a d<<k, it's not funny."
  3. Shit: "I stepped in dog shit on the way to work."
  4. Bloody: "Bloody hell, I can't believe I missed the bus again."
  5. F<<k: "I don't give a f<<k what he thinks."
  6. Bitch: "She's always such a bitch to everyone."
  7. Crap: "This movie is crap, I can't believe I wasted money on it."
  8. Bastard: "He's a cheating bastard, I can't trust him."
  9. Asshole: "That guy cut me off in traffic, what an >>>>."
  10. Darn: "Darn it, I spilled coffee on my shirt."
  11. Piss: "I'm so pissed off right now, I can't even talk to him."
  12. C<<k: "He's such a co<<y guy, always bragging about himself."
  13. Pussy: "Don't be such a >>>>>, it's just a little pain."
  14. Sl>t: "She's been with so many guys, everyone calls her a sl..."
  15. C>>t: "He called her a c<<t and she slapped him."
  16. Fag: "He's always making fun of people, such a fag."
  17. Bugger: "Oh bugger, I forgot to buy milk."
  18. Douche: "He's such a douchebag, nobody likes him."
  19. Bollocks: "What a load of bollocks, that's not even true."
  20. Arsehole: "He's such an arsehole, always criticizing everyone." Note: Use in context - For educational purposes only การแนะนำ ควรบอกริบทของการใช้ด้วย เช่น การใช้ "darn": - Darn it, I spilled coffee on my shirt. - I missed the last train by a minute. Darn it! การจัดการกับคำหยาบคายในชั้นเรียนภาษาอังกฤษเป็นเรื่องที่ต้องมีการใส่ใจและการสื่อสารอย่างมีประสิทธิภาพระหว่างครูและนักเรียน เพื่อให้มีการเรียนรู้และเข้าใจถึงความสำคัญของการใช้ภาษาที่เหมาะสมและการเ

ส่วนตัวแล้ว ผมว่าวิธีหนึ่งในการจัดการกับสิ่งนี้คือการทำให้ผู้เรียนคิดถึงบริบทของการใช้งาน (context of use) - แตะที่การวิพากษ์วิจารณ์หรือทักษะการคิดอย่างมีวิจารณญาณ ครูควรเน้นให้นักเรียนตระหนักถึงการใช้ภาษาและแนวปฏิบัติ ผมคิดว่าแนวคิดนี้ดีมากครับ การจัดการกับภาษาหยาบคายในชั้นเรียนจริงๆ ต้องเริ่มจากการทำให้นักเรียนเข้าใจถึงบริบทและผลกระทบของการใช้ภาษาหยาบคาย โดยการอธิบายว่าภาษาหยาบคายไม่เพียงแค่ไม่เหมาะสมในบริบทของการเรียนการสอนเท่านั้น แต่ยังส่งผลกระทบต่อการสื่อสารทั่วไปและความสัมพันธ์กับผู้อื่นด้วย

การใช้ภาพยนตร์ (Films) และเพลงในโซเชียลมีเดีย (social media) เป็นเครื่องมือที่ดีในการเปิดโอกาสให้นักเรียนเข้าใจถึงบริบทและการใช้งานของภาษาหยาบคายได้มากขึ้น เพราะพวกเขามักจะได้ยินหรือเห็นคำเหล่านี้ในบริบทต่างๆ ที่น่าสนใจและมีความสนใจ การใช้เหตุการณ์จริงจากชีวิตประจำวันก็เป็นวิธีที่ดีในการแสดงให้เห็นถึงผลของภาษาหยาบคายต่อความสัมพันธ์และสถานการณ์ต่าง ๆ

นอกจากนี้ ผมว่าครูอาจารย์ควรเน้นให้นักเรียนเห็นคุณค่าของการใช้ภาษาที่สุภาพและเหมาะสมตามบริบท และสร้างการเข้าใจให้นักเรียนเห็นว่าการใช้ภาษาหยาบคายไม่เพียงแค่เสียดสีและไม่เอาใจใส่เท่านั้น แต่ยังส่งผลกระทบต่อความรู้สึกและความคิดของผู้อื่นด้วย

การเน้นให้นักเรียนตระหนักถึงการใช้ภาษาและแนวปฏิบัติเป็นเครื่องมือที่ดีในการสร้างพฤติกรรมที่เหมาะสมในชั้นเรียนและชีวิตประจำวันครับ!

ตัวอย่างในการสอนภาษาอังกฤษ:

ที่เราทำได้คือ เราสามารถใช้เพลงที่มีเนื้อหาที่ใช้ภาษาหยาบคายในบริบทของเพลง (เช่น ของ Justin Bieber - F**k Yourself) เราสามารถใช้เพลงเพื่อสร้างการเข้าใจให้นักเรียนว่าภาษาหยาบคายไม่เหมาะสมในบริบทที่เป็นส่วนของการสื่อสารทั่วไป

นอกจากนี้ เรายังสามารถใช้วิดีโอโฆษณาหรือโฆษณาโซเชียลมีเดีย (ads) ที่มีการใช้ภาษาหยาบคาย และให้นักเรียนทำการวิเคราะห์ว่าทำไมผู้ผลิตเลือกใช้ภาษานั้น และผลกระทบที่เกิดขึ้นจากการใช้งานนั้น

นอกจากนี้ เรายังสามารถใช้เหตุการณ์จริงที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวันเพื่อสอนให้นักเรียนเข้าใจถึงผลกระทบของภาษาหยาบคาย ยกตัวอย่างเช่น การใช้ภาษาหยาบคายในการพูดกับครอบครัวหรือเพื่อน โดยให้นักเรียนตระหนักถึงความรู้สึกและผลกระทบต่อความสัมพันธ์

การใช้ตัวอย่างเช่นเหล่านี้จะช่วยให้นักเรียนเข้าใจถึงบริบทและการใช้งานของภาษาอย่างมีเหตุผลและเหมาะสมครับ และเป็นการเสริมสร้างทักษะการคิดอย่างมีวิจารณญาณในการใช้ภาษาอีกด้วย

มีบางคนบอกว่า เราไม่ควรอนุญาต ให้มีการสอนคำหยาบในโรงเรียน ไม่ว่าจะเป็นภาษาอะไรก็ตาม แน่นอน บางคนอาจมีความเห็นเช่นนั้นเพราะว่าการสอนคำหยาบอาจถูกมองว่าเป็นการส่งเสริมหรือยอมรับพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมในสังคม และอาจเกิดความเป็นอิสระในการใช้งานคำหยาบคายในชุมชนโดยไม่คำนึงถึงผลกระทบที่เกิดขึ้น

แต่การมีการสอนคำหยาบอาจมีแนวทางที่เหมาะสมเมื่อนำเสนอในบริบทที่เหมาะสมและมีวัตถุประสงค์เช่น:

การสอนคำหยาบในบริบทของการสื่อสาร: การเสนอคำหยาบในบริบทของการสื่อสารที่ไม่เหมาะสม เช่น ในการสนทนาระหว่างเพื่อนหรือการใช้ภาษาหยาบในบทเพลง สามารถใช้เป็นวัตถุประสงค์ในการเรียนรู้ว่าใช้ภาษาหยาบคายอย่างไรเป็นผลลัพธ์ต่อการสื่อสารและความสัมพันธ์

การเชื่อมโยงคำหยาบกับความรู้สึกและความคิด: เนื่องจากคำหยาบส่วนใหญ่มักจะถูกใช้เมื่อมีอารมณ์รุนแรงหรือไม่พอใจ การสอนความรู้สึกและความคิดที่เกี่ยวข้องกับการใช้ภาษาหยาบคายอาจช่วยให้นักเรียนเข้าใจเหตุผลและผลลัพธ์ของการใช้ภาษานี้ได้มากขึ้น

การสร้างการเข้าใจในเรื่องของความเหมาะสม: การเสนอคำหยาบในบริบทที่ไม่เหมาะสมและวิเคราะห์เหตุผลที่ทำให้คำหยาบไม่เหมาะสมในบริบทนั้น ช่วยให้นักเรียนเข้าใจถึงความสำคัญของการใช้ภาษาอย่างเหมาะสมและเคารพ

การสร้างทักษะการวิเคราะห์และการตัดสินใจ: การให้นักเรียนวิเคราะห์และตัดสินใจว่าเมื่อใดควรใช้หรือไม่ควรใช้คำหยาบ และเหตุผลที่เกี่ยวข้อง เพื่อช่วยพัฒนาทักษะการวิเคราะห์และการตัดสินใจที่ดี

การสอนคำหยาบอาจจะเป็นเครื่องมือที่ดีในการสร้างการเข้าใจและความตระหนักในการใช้ภาษา และเป็นการเตรียมพร้อมให้นักเรียนใช้ภาษาอย่างมีเหตุผลและเหมาะสมในสังคมได้อย่างมีประสิทธิภาพอีกด้วยครับ


คำหยาบ (profanity) กับ อารมณ์ (Emotion) เกี่ยวข้องกันอย่างไร

คำหยาบและอารมณ์มีความเกี่ยวข้องกันอย่างใกล้ชิด เนื่องจากคำหยาบมักถูกใช้ขึ้นมาเมื่อมีการแสดงอารมณ์บางประเภท ดังนั้น คำหยาบมักจะเป็นส่วนหนึ่งของการแสดงอารมณ์ที่แท้จริงของบุคคล โดยมักจะเกี่ยวข้องกับอารมณ์ที่รุนแรง อ่อนแอ หรือไม่พอใจ ดังนั้น ความเกี่ยวข้องระหว่างคำหยาบและอารมณ์มีดังนี้:

การแสดงอารมณ์และความไม่พอใจ: เมื่อบุคคลรับการกระทำที่ไม่พอใจหรือรู้สึกโกรธ มักจะมีการใช้คำหยาบเป็นการแสดงออกเกี่ยวกับความไม่พอใจนั้น คำหยาบมักเป็นช่องทางในการผ่อนคลายความเครียดและอารมณ์เช่นนี้

การแสดงความเศร้าหรือท้อแท้: เมื่อบุคคลรู้สึกเศร้าหรือท้อแท้ เขาอาจมีการใช้คำหยาบเพื่อแสดงถึงความเศร้าหรือความไม่สุข

การแสดงความรังเกียจและความไม่พอใจ: คำหยาบมักถูกใช้เมื่อมีการแสดงความรังเกียจหรือความไม่พอใจ มักใช้ในบทสนทนาที่ไม่พึงประสงค์หรือเมื่อบุคคลรู้สึกโกรธต่อบุคคลอื่น

การแสดงความรักและความสุข: บางครั้งคำหยาบอาจถูกใช้เพื่อแสดงความรักและความสุขอย่างไม่เป็นทางการ เช่น เมื่อคุยกับเพื่อนสนิทหรือสมาคมกลุ่ม

การสร้างความสนุกสนานและการเชื่อมต่อ: คำหยาบบางครั้งถูกใช้เพื่อสร้างความสนุกสนานหรือการเชื่อมต่อในบริบทของการพูดคุยสมาคม

การใช้คำหยาบมักเป็นการแสดงอารมณ์ที่เต็มไปด้วยอารมณ์ของบุคคล และมักถูกใช้ในบริบทของความรู้สึกที่เข้มข้น การเข้าใจความเกี่ยวข้องระหว่างคำหยาบและอารมณ์จะช่วยให้เราเข้าใจถึงทางที่บุคคลอาจมีในการใช้ภาษาอย่างไรเมื่อมีอารมณ์อย่างต่าง ๆ ปรากฏออกมา


สรุป


การสอนภาษา แม้แต่คำศัพท์ที่ไม่สุภาพหรือหยาบคาย ก็ไม่ได้หมายความถึงการส่งต่อหรือสร้างอิทธิพลเชิงลบต่อนักเรียน ปัจจุบันนี้ นักเรียนนักศึกษาสามารถเข้าถึงแหล่งข้อมูลต่างๆ ที่มีเนื้อหาหยาบคายได้อยู่แล้วทางสื่อต่างๆ 

ตรงกันข้ามการให้ความรู้ที่ถูกต้อง ส่งเสริมเด็กด้วยความรู้ที่เพียงพอเกี่ยวกับการใช้ภาษา ซึ่งได้รับจากการสอนการเรียนรู้ภาษาอังกฤษ ผมเชื่อว่าการ Open Up นี้สามารถเป็นข้อได้เปรียบ ส่งผลดีต่อการเรียนการสอนภาษาอังกฤษ

References

Andang, K., & Bram, B. (2018). Swear words and their implications for English language learning-teaching. LLT Journal, 21(Suppl), 43. doi:10.24071/llt.2018.Suppl2105


Andersson, L., & Trudgill, P. (1990). Bad Language. Oxford: Blackwell.

Amanda Gillis-Furutaka (2024). PROFANITY AND EMOTION ARE INEXTRICABLY

ENTWINED – LET ME SHOW YOU HOW. JALT Mind, Brain, and Education SIG.

Available online at: https://drive.google.com/file/d/1IvIqsWLjBCPCWnTPT1Ql1sxEN8Y-JrAU/view


 Wedlock, J. (n.a). Teaching about Taboo Language in EFL/ESL Classes: A Starting Point Available online at https://files.eric.ed.gov/fulltext/EJ1263547.pdf




Janpha Thadphoothon is an assistant professor of ELT at the International College, Dhurakij Pundit University in Bangkok, Thailand.



No comments:

Post a Comment

Promoting Healthy Silence and Solitude Amid Digital Overload [DRAFT ONLY]

  Promoting Healthy Silence and Solitude Amid Digital Overload [DRAFT ONLY] Janpha Thadphoothon and Yongyuth Khamkhong In today’s hyperconn...